[OS] พี่หมอสายเปย์ (Yuri x Minkyeong)
“อยากอาบน้ำอีกรอบมั้ยล่ะ”
ผู้เข้าชมรวม
2,020
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
แปดปี
นั่นคือความต่างระหว่างวัยของ ควอนยูริ และ คิมมินกยอง…
แม้ยูริจะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยดงกุกมาเกือบหกปีแล้ว
ทว่าคุณหมอสาวในชุดเสื้อคอปกกับกางเกงขาวยาวเขียวขี้ม้าก็ยังกลับยังแวะเวียนกลับมาที่มหาลัยมีชื่อประจำกรุงโซลแห่งนี้อยู่เป็นประจำ
เหตุก็เพราะมารอรับส่งใครบางคนซึ่งยังเป็นนิสิตของที่นี่นั่นเอง เจ้าของนิ้วเรียวสีน้ำผึ้งกำลังนั่งกดมือถือเล่นเพื่อฆ่าเวลา
ถึงจะนานแค่ไหนยูริไม่เคยรู้สึกเบื่อแม้แต่น้อยเมื่อนึกไปถึงใบหน้าสวยของคนที่ตัวเองกำลังรอ
เสียงพูดคุยจอแจแว่วให้ได้ยิน
ใบหน้าคมจึงเงยขึ้นมองไปตามต้นเสียงเห็นรุ่นน้องชายหญิงในชุดแบบฟอร์มเดียวกันทั้งกลุ่มเล็กบ้างใหญ่บ้างกำลังทยอยกันเดินออกมาจากตัวตึก
นึกแล้วตัวเองนั้นช่างดูคล้ายเหล่าคุณพ่อคูรแม่ที่มานั่งรอลูกเลิกเรียนเสียนี่กระไร
เครื่องมือสื่อสารถูกเก็บใส่กระเป๋ากางเกงเมื่อการรอสิ้นสุดลง… ยูริเห็นร่างสูงที่คุ้นตาเดินออกมากับเพื่อนอีกสองสามคน
เธอบอกลาเพื่อนที่ต่างพากันยิ้มคล้ายจะล้อ เหมือนจะเป็นที่รู้กันว่ายูริจะมานั่งรอตรงนี้เสมอไปซะแล้ว
มินกยองส่งสายตามาให้แบบไม่ต้องเสียเวลามองหา
ด้วยส่วนสูงที่เกินวัยไปเสียหน่อย
ทำให้ยูริต้องเงยหน้ามองคนเด็กกว่าเล็กน้อย
ว่าแล้วคนรอก็ยื่นมือไปรับกระเป๋าของมินกยองอย่างเคยชิน
พลางมองใบหน้าสวยตรงไรผมนั้นชื้นเหงื่อให้เห็นตามประสาลูกคุณหนูขี้ร้อน
“ยังกับเพิ่งเลิกเรียนคาบพละมาเลยนะ”
“พี่อ่ะ” คนโดนแซวย่นหัวคิ้วพลางบึนปากใส่ “ก็แอร์ที่ห้องเลคเชอร์เสีย
เลยเหมือนโดนเผามาตั้งแต่บ่ายเนี่ย”
คนพี่ล้วงอะไรบางอย่างจากกระเป๋าเสื้อ
ก่อนจะแปะผ้าเช็ดหน้าลงบนหน้าผากคนระบบเผาผลาญดี ออกแรงซับเบาๆ
เพราะมินกยองเหงื่อออกง่าย
ยูริจึงต้องพกผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษทิชชู่อย่างใดอย่างหนึ่งตลอดเวลาดังที่เห็น
“กลับกันเลยมั้ย?”
“วันนี้เค้ามีติวกับเพื่อนต่อค่ะ” มินกยองกัดปากอย่างกลัวความผิด แม้รู้ว่ายูริไม่เคยจะโกรธกันเลย
หากว่าเรื่องที่บอกนั้นนำมาซึ่งผลดีกับตัวน้องเอง อย่างเช่นการรวมตัวกันติวก่อนจะถึงวันสอบในอาทิตย์หน้า
“แต่เค้าไปกินข้าวเย็นกับพี่นะ”
พอเห็นเด็กมันคล้ายจะร้อนตัวกลัวคนพี่น้อยใจ
ยูริจึงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย”
ยูริพามินกยองไปร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลตัวมหาวิทยาลัยมากนัก
ด้วยเหตุผลของคนพี่ที่ว่าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเทียวไปเทียวมาและคนพี่ก็กลัวน้องจะเหนื่อยนั่นเอง
ทั้งสองมาฝากท้องกับร้านต๊อกโบกีเจ้าดังของย่าน ก่อนยูริจะพามินกยองมาส่งที่สถานที่ติวก่อนเวลานัดหมายประมาณสิบห้านาที
ให้น้องได้มีเวลาเตรียมตัวก่อนเริ่มติว เพราะการเรียนหมอทำให้ตัวเองเคยผ่านช่วงเวลาที่เรียนหนักอย่างเอาเป็นเอาตาย
ยูริจึงเข้าใจอีกคนเป็นอย่างดี
“พี่กลับไปพักเถอะ
เดี๋ยวเค้าโทรให้ป๊าส่งคนมารับ รับรองปลอดภัย”
แน่นอนว่ามินกยองรู้ดีว่ายูรินั้นเป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเองขนาดไหน
ไม่เช่นนั้นคงไม่มารับมาส่งกันทุกครั้งที่มีเวลาว่างแบบนี้หรอก
แต่มินกยองก็อยากให้คนที่ทำงานหนักได้มีเวลาพักผ่อนบ้างเหมือนกัน
“ไม่เป็นไร
พี่ไม่มีเวร รอได้ๆ”
ไม่ผิดคาดเท่าไหร่กับคำตอบที่ได้รับมา
หากว่ายูริยอมกลับไปทันทีตามที่บอก นั่นคงทำให้มินกยองไม่สบายใจมากกว่า
เช่นนั้นคนน้องจึงทำอะไรไปไม่ได้นอกจากกอดพี่ไว้แน่นสักพัก พอผละออกมาก็โดนคนอายุมากกว่าดันไหล่เข้าตัวตึกโดยไม่ปล่อยให้อ้อยอิ่งกันนานไปกว่านี้
โชคดีที่ทางมหาวิทยาลัยอนุญาตให้ห้องสมุดปิดทำการเลทกว่าปกติในช่วงสอบ
ยูริจึงมีที่ให้นั่งอ่านงานวิจัยไปเพลินๆขณะรอน้องติว
กว่ามินกยองกับเพื่อนจะติวสอบกันเสร็จก็เกือบห้าทุ่ม
เด็กตัวสูงในชุดนักศึกษาเดินลากขามาหาพร้อมดวงตาเรียวที่พร้อมจะปิดตลอดเวลาบ่งบอกความงล้าของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี
สเวตเตอร์ตัวหนาที่ไม่ค่อยจำเป็นสำหรับคนขี้ร้อน ทว่าพอมันเป็นตัวที่ยูริซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดจึงกลายเป็นเสื้อตัวโปรดได้ไม่ยาก
คนน้องจึงพกมันไปไหนมาไหนโดยการพาดไว้บนบ่าแทนที่จะสวมไว้อย่างที่ควรจะเป็น
มินกยองเวลาที่ง่วงจะขี้อ้อนขึ้นมาประมาณสิบเท่า
นี่เป็นอีกข้อที่ยูริพ่ายแพ้ให้กับเด็กคนนี้ ทุกเสาร์อาทิตย์ที่ว่างตรงกันมินกยองได้ทำการขออนุญาตคุณป๊าคุณม๊ามาค้างที่คอนโดยูริเป็นที่เรียบร้อย
คุณม๊าน่ะตามใจลูก แต่คุณป๊าจอมหวงลูกสาวนี่แหละที่มินกยองต้องออกแรงอ้อนอยู่นานกว่าท่านจะยอม
ยูริจึงกำลังเดินตามมินกยองเข้ามาในคอนโดของตัวเองอย่างที่เห็นนี่เอง
“ไปอาบน้ำก่อนเลย”
คนพี่หาผ้าเช็ดตัวมาให้เสร็จสรรพ
ถึงจะง่วงแค่ไหนแต่มินกยองก็ไม่เคยยอมนอนหมกบนเตียงของคนพี่โดยที่ไม่อาบน้ำเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แม้ยูริจะเคยบอกแล้วว่าถ้าง่วงให้นอนไปก่อนแล้วค่อยตื่นมาอาบก็ได้
กลิ่นสบู่ที่เค้าใช้เป็นประจำ
ทว่าน่าแปลกที่เมื่อมาอยู่บนตัวน้องแล้วดันหอมขึ้นหลายเท่าตัว
เด็กตัวสูงในชุดนอนลายมิ้กกี้เม้าส์ของเจ้าของห้องเดินมานั่งที่โซฟาถัดจากยูริ
ก่อนจะออกแรงดึงๆให้คนพี่ไปอาบต่อจากตัวเอง
“เช็ดผมก่อนๆ”
ยูริไม่ยอมทำตามที่น้องบอก
ทั้งยังเอื้อมมือไปจับผ้าเช็ดตัวสีฟ้าบนศีรษะมินกยอง
แต่ก่อนจะคว้ามาถือไว้เด็กมันก็ออกแรงยื้อต้านไว้ซะก่อน “ไปอาบเลยค่ะ ดึกแล้วเดี๋ยวเค้าเช็ดเอง”
“ดื้อนะเดี๋ยวนี้”
“พี่นั่นแหละค่ะที่ดื้อ”
เห็นมินกยองทำหน้าดุใส่
คนเป็นพี่ได้แต่ยิ้มเอ็นดู แล้วส่ายศีรษะน้อยๆ ด้วยการยอมแพ้และยอมใจ วางมือบนศีรษะเพื่อขยี้ผมคนน่ารักไม่แรงนัก
แต่นั่นก็พอทำให้มินกยองย่นคอหนีได้ ยังไม่ทันเดินเข้าห้องน้ำคนแก่กว่าดันถอดเสื้อของตัวเองออกซะอย่างนั้น
เอวคอดใต้เสื้อกล้ามตัวเล็กปรากฏแก่สายตา ด้านคนง่วงจึงรู้สึกตื่นตาขึ้นมานิดหน่อย
“นี่! พี่ยั่วเค้าเหรอ?”
มินกยองถามขึ้นพอยูริหันมายักคิ้วให้อย่างเจ้าเล่ห์
ก่อนที่ประโยคต่อมาจะทำให้มินกยองต้องง้างกรงเล็บขู่
“อยากอาบน้ำอีกรอบมั้ยล่ะ”
เช้าวันเสาร์ต้นเดือน
ยูริถูกคนน้องลากมาเดินห้างเพราะไม่อยากให้เงินเดือนที่ป๊าม๊าให้มาต้องเหลือเยอะเกินไปเหมือนทุกเดือน
ถึงจะทำงานงกๆอยู่แต่ในโรงพยาบาล ทว่ายูริกลับมีเซ้นต์แฟชั่นมากกว่าที่คิด มินกยองพาอีกคนเข้าไปในร้านแบรนด์วาเลนติโน่เจ้าโปรด
ก่อนจะตรงไปยังมุมรองเท้า คนที่ไม่ได้ตั้งใจมาช๊อปก็ได้แต่เดินตามไปเรื่อยด้วยกลัวว่าน้องจะคิดว่าตัวเองไม่ให้ความสนใจ
เห็นคนน้องหยิบส้นสูงคู่หนึ่งมาดูอยู่สักพัก พอเห็นราคาแล้วถึงกับกลืนน้ำลาย
ต้องรับจ๊อบอยู่เวรอีกกี่เวรดีนะ…
ดูมินกยองจะตื่นตาตื่นใจกับส้นสูงหลายคู่ที่วางอยู่ละลานตาสังเกตจากสายตาวิบวับนั่นก็พอจะบอกได้
เดินวนไปวนมาอยู่ที่ส้นสูงคู่เดิมหลายรอบจนยูริถึงกับต้องเอ่ยปากถามว่า ชอบเหรอ?
“ถ้าชอบก็เอาสิ พี่ซื้อให้” เพราะรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ไงมินกยองถึงดูคิดหนัก
หากว่าเปลี่ยนจากยูริเป็นเพื่อนของตัวเองที่มาด้วยในวันนี้ มินกยองคงไม่ลังเลที่จะควักหนึ่งในบัตรเครดิตของคุณม๊ามารูดจ่ายเป็นแน่
“มันแพงไปเนอะ” ว่าพลางทำหน้าเสียใจให้ใจอ่อนยวบ
ยูริที่ในที่สุดก็นั่งลงตรงเก้าอี้ใกล้ตัวก็เอ่ยตอบ
“ไหนลองให้พี่ดูซิ”
พอเห็นคนน้องดูยึกยักดึงท่าทีอยู่นาน
ยูริจึงลุกไปหยิบส้นสูงราคาแพงหูฉี่คู่นั้นมาวางตรงข้างเท้าอีกคน ก่อนที่มินกยองจะยอมก้มลงไปสวมมันตามที่คนพี่คะยั้นคะยอ
มือเรียวเกาะตรงไหล่คนที่นั่งอยู่ เพื่อประคองตัวเองไม่ให้เซ
ขณะก้มมองกระจกตรงปลายเท้า รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าคนน้อง
ยูริรู้ได้เลยว่ามินกยองพอใจกับมันขนาดไหน
“เวลาใส่เดินกับพี่ห้ามใส่คู่นี้นะ
แค่นี้เธอก็สูงกว่าพี่จะแย่แล้ว”
พอตัดสินใจได้ว่าจะซื้อให้
ยูริจึงกล้าเอ่ยแซวคนน้องที่เดินไปเดินมาขณะที่ยังสวมส้นสูงคู่ที่ว่าอยู่
มินกยองปล่อยขำอย่างคนกำลังมีความสุขเหมือนเด็กได้ของเล่นที่ถูกใจ
สุดท้ายยูริก็ยื่นรองเท้าคู่นี้ให้พนักงานพร้อมกับบัตรเครดิต
คนที่เพิ่งได้ส้นสูงคู่ใหม่ซึ่งถูกใจเอามากๆ
ควงแขนคนพี่อย่างเอาใจขณะที่พากันเข้าร้านเสื้อผ้าแบรนเนมอีกสองล็อคถัดมา
เด็กตัวสูงหยิบเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำมาทาบตัวยูริ คนที่ถือถุงรองเท้าอยู่ก็ก้มมองอย่างสนใจ
ก่อนที่มินกยองจะเอามันไปแขนที่เดิมตามด้วยการพึมพัมกับตัวเองที่ยูริพอจะจับใจความได้ว่า
สีดำมีเยอะแล้ว เอาสีอื่นบ้าง.. คนรักสีขาวดำเป็นชีวิตจิตใจจึงถึงกับหงอยไปไม่น้อย
คงเพราะมินกยองเกิดมามีรูปร่างที่ดี
การเลือกชุดที่เหมาะกับตัวเองจึงไม่ใช่เรื่องยาก
กางเกงขาสั้นกับเสื้อแฟชั่นสี่ห้าชุดถูกวางในรถเข็น พอได้ของที่ตัวเองถูกใจจึงหันมาเลือกเสื้อผ้าให้คนที่เอาแต่ถือของเดินตามเธอบ้าง
ก่อนจะได้มาเป็นกางเกงขายาวกับเสื้อเชิ้ตสีเดียวกับกางเกงขาสั้นและเสื้อที่เธอเลือกไปก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยน
ดูท่าทางจะเป็นคอลเล็กชั่นที่เป็นคู่กันอยู่แล้ว
“ให้เค้าจ่ายเองนะ”
เมื่อได้รับการส่ายหน้าเป็นการปฎิเสธ
มินกยองจึงยู่ปากอย่างขัดใจ
“เอาไว้เธอมีเงินเดือนค่อยเลี้ยงพี่คืน”
ยูริรู้ดีว่าหากวันใดที่มินกยองเริ่มทำงานมีเงินเดือนเป็นของตัวเอง
เธอคงไม่ยอมให้เค้าเป็นฝ่ายออกให้ตลอดแบบนี้เป็นแน่
เนื่องจากโดยพื้นฐานแล้วฐานะทางบ้านเราต่างกันโดยสิ้นเชิง
ย้อนไปช่วงแรกที่เราพบกัน…
ในตอนที่ยูริเรียบจบและกำลังเป็นแพทย์ใช้ทุนปีที่สอง
มินกยองยังเป็นน้องเฟรชชี่ปีหนึ่ง
ถึงจะจบเป็นแพทย์ใช้ทุนแล้วทว่ายูริก็ยังมีบทบาทในชมรมวิ่งและมีส่วนร่วมในกิจกรรมอาสาต่างๆของมหาวิทยาลัย
ครั้งแรกที่ยูริโดนน้องรหัสลากไปช่วยดูซ้อมหลีดฯของรุ่นน้องปีหนึ่ง
ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เค้าได้เจอกับประธานเชียร์ที่ชื่อคิมมินกยอง
ใบหน้าสวยติดหยิ่งของน้องคนนี้ดึงดูดสายตาของยูริได้อย่างง่ายดาย
ทว่าการที่ยูริมีหน้าที่การงานที่ดีมั่นคงและเป็นที่น่านับถือของคนในสังคมกลับไม่ช่วยให้การเข้าหาประธานเชียร์ปีหนึ่งได้ง่ายอย่างที่คิด
กว่าจะได้คาทกของน้องมาก็เกือบสองสัปดาห์
แถมกว่าน้องจะตอบข้อความของยูริก็ปาเข้าไปเดือนกว่า
แม้ว่าเพื่อนต่างปลอบใจว่าคงเป็นเรื่องยากที่น้องมินกยองจะหันมาสนใจกัน
เพราะยูริเป็นเพียงเศษหนึ่งส่วนจากร้อยส่วนที่คิดจะจีบน้องเค้า
แต่มันไม่ได้ทำให้ความตั้งใจของคนมองโลกในแง่ดีหมดไปง่ายๆ
น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน…นับประสาอะไรกับใจคน ยูริคอยตามดูแลรุ่นน้องคุณหนูจอมหยิ่งแทบทุกฝีเก้าจากตอนแรกที่แทบจะโดนบอร์ดี้การ์ดของน้องหิ้วปีกไปฝังหมกป่า
มาจนถึงตอนที่น้องมินกยองยอมไปทานข้าวกับตนครั้งแรก
ยูริยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้เป็นอย่างดี
คล้ายกับตัวเองกำลังจะถึงจุดอิ่มตัวและกำลังจะหมดกำลังใจล้มเลิกความคิดจะเข้าหาอีกคน
ในวันที่ยูรินั่งตัดพ้อกับเพื่อนสนิทตรงม้านั่งข้างหอประชุมที่น้องๆกำลังซ้อมหลีดฯกันนั้น
ยูริไม่รู้ว่ามินกยองนั้นบังเอิญเดินผ่านมาและได้ยินคำพูดของเค้าทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ…
การที่ยูริได้ยินเสียงมินกยองากที่สุดตั้งแต่รู้จักกันมาทำเอาเค้าแปลกใจและทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน
และไม่ว่าอีกคนจะแค่ให้ความหวังกัน ยูริถือว่าแค่นี้ก็คุ้มแล้วสำหรับตัวเค้าเอง
หลังจากวันนั้นเราได้คุยกันมากขึ้น ลุคหยิ่งๆของน้องเค้าถูกแทนที่ด้วยความเป็นเด็กเอาแต่ใจและแอบขี้อ้อนไปทีละน้อย
สิ่งที่ทำเอาตัวกลุ่มเพื่อนสนิทและตัวยูริเองต้องแปลกใจมากที่สุดคือ
คนที่ขอคบไม่ใช่ ‘ยูริ’ ทว่ากลับเป็น ‘มินกยอง’
เสียเอง
คงเพราะเค้าทนความซึนของแกไม่ไหว
นั่นเป็นคำพูดของหนึ่งในเพื่อนสนิทที่บอกกับยูริ
แม้ว่าในช่วงท้ายก่อนจะเอ่ยปากคบกัน มินกยองจะไม่ได้คุยกับคนอื่นเลยนอกจากยูริ
และไม่ใช่ว่ายูริไม่อยากแสดงความเป็นเจ้าของอีกคน แต่เค้าแค่ไม่อยากเร่งเร้าน้องมากเกินไป
กลัวน้องจะอึดอัด ทว่าผิดคาดเมื่อหลังจากคบกันมินกยองกลับติดยูริซะอย่างนั้น
ที่เค้าต้องตามก็เพราะมินกยองอยากให้ตามอีกนั่นแหละ
เธอมักจะรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจเวลาที่ไม่มียูริอยู่ด้วย
แม้หลายครั้งจะออกปากไล่เค้าไปพักไปอย่างนั้นก็ตามที ยูริเก่งเรื่องการอ่านใจคน
โดยเฉพาะกับมินกยอง…
และเพราะความเป็นห่วงน้อง
จึงนำมาซึ่งการทะเลาะครั้งแรกของยูริและมินกยอง
อันที่จริงจะเรียกว่าทะเลาะก็ไม่เชิง
ในเมื่อเราไม่ได้ขึ้นเสียงใส่กันเลยแม้แต่น้อย
เพียงแค่เป็นไม่กี่ครั้งที่มินกยองโดนยูริงอนเป็นจริงเป็นจังเสียมากกว่า… เหตุเกิดหลังจากที่มินกยองแอบไปพายเรือวิบากกับแก๊งค์เพื่อนโดยไม่บอกทางบ้าน
รวมถึงตัวยูริเอง รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองขาดความชำนาญเพราะไม่เคยฝึกมาก่อน
พอเรื่องที่มินกยองเกือบจมน้ำเข้าหูยูริจึงเป็นเรื่องใหญ่เข้าให้
มินกยองโดนคนอายุมากกว่าบ่นจนหูชาเป็นชั่วโมง
“ถ้าไม่นึกถึงพี่…
ก็นึกถึงทางบ้านบ้างว่าท่านเป็นห่วงเธอขนาดไหน”
แม้น้ำเสียงไม่ได้มีความตัดพ้อว่าไม่สนใจกัน
แต่เป็นเหมือนการที่พี่ตักเตือนน้องมากกว่านั้น
ก็พอจะทำให้คนผิดมีน้ำตาปรอยให้เห็นได้ คนว่าถึงกับต้องเบือนหน้าหนีด้วยกลัวว่าตัวเองจะเผลอใจอ่อนดึงน้องมาปลอบซะก่อน
“ขอโทษค่ะ…
ฮึก... เค้าจะไม่ทำแบบนี้… ฮึก… อีกแล้ว”
มินกยองเอ่ยเสียงค่อยปนสะอื้น
ทั้งรู้สึกผิดที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ท่านต้องเป็นห่วง
ทั้งเสียใจที่ทำให้คนรักคิดไปว่าเธอทำอะไรไม่นึกถึงพี่เค้า ยูริเสยผมพลางถอนหายใจอย่างหนักใจ
ไม่อยากใจร้ายกับน้องเลย แต่ถ้าไม่เตือนก็กลัวว่ามินกยองจะเผลอไปทำอะไรตามความคึกคะนองให้ต้องเป็นห่วงอีก
ตอนแรกที่รู้ข่าวยูริที่แทบจะไปกระชากตัวเพื่อนตัวแสบของน้องมันมานั่งสวดรายคนซะให้รู้แล้วรู้รอดเลย
นี่คิดไว้แบบนั้นจริงๆ แต่เพราะเพื่อนเค้าห้ามไว้
“พี่จะว่าอะไรเค้าก็ว่ามาเลย…
ฮึก… แต่อย่าทำหน้าเย็นชาใส่กันแบบนี้เลยนะคะ”
นิ้วเรียวเกี่ยวชายเสื้อยูริไว้
เพราะอยากให้คนน้องได้มีเวลาทบทวนความผิดของตัวเอง
หารู้ไม่ว่าคนน้องดันกลัวว่าเค้าจะโกรธขึ้นมาจริงๆ
ที่ดูหยิ่งอันที่จริงภายในมินกยองเป็นคนอ่อนไหวยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนที่เธอแคร์
นั่นคือคนในครอบครัว และหมายรวมถึงตัวยูริด้วย
มินกยองออกแรงดึงจนเสื้อเค้าแทบจะยืดออกเสียให้ได้
จนในที่สุดคนขืนตัวต้านแรงดึงก็ยอมแพ้ ก่อนจะผ่อนแรงถอยกลับมานั่งข้างน้อง
“พี่ไม่ได้เย็นชา
แต่ก่อนจะทำอะไร พี่อยากให้เธอไตร่ตรองให้ดีกว่านี้”
น้องพยักหน้าซ้ำๆจนหน้าม้าแตกกระจาย
น้ำตาหยดลงบนตักให้เห็นอย่างน่าเอ็นดู
“พี่เป็นห่วงเธอมากนะ
ยิ่งคุณพ่อคุณแม่ท่านก็ทั้งกังวลทั้งเป็นห่วงไปอีก”
“วันหลังไม่เอาแบบนี้แล้วนะ” ยูริลูบหัวคนที่นั่งเช็ดน้ำตาปรอยๆ “เข้าใจแล้วใช่มั้ย?”
พอเห็นคนตาแดงกล่ำนั่งมองกันด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
ยูริไม่รู้จะทำอย่างไรจึงดึงน้องมาจุ๊บหน้าผากเบาๆ
“พี่จะไปไหน” คนน้องดึงแขนคนพี่พลางถามหน้าตื่นๆ สงสัยกลัวว่าจะทิ้งกันไปอีก
“พี่ต้องไปอยู่เวรไงเด็กดื้อ”
“ไม่ไปไม่ได้เหรอ?” เด็กอื้อถามขึ้นเสียงอู้อี้ขณะที่จมอยู่ในอ้อมกอดของยูริ
“ไม่ได้ค่ะ
นั่นหน้าที่สำคัญของพี่เลยนะ”
พอเห็นคนน้องทำท่าจะมีน้ำตาให้เห็นอีกรอบ
ยูริจึงเชยคางให้ใบหน้าสวยของอีกคนขึ้นมาสบตากันดีๆ
นิ้วเรียวปาดน้ำตาให้น้องก่อนจะเกลี่ยข้างแก้มอย่างอ่อนโยน ไม่เอาไม่ร้องแล้วค่ะ
ตาบวมหมดแล้ว ยูริว่าพลางเปากระหม่อมเด็กตัวโตอย่างรักใคร่ นั่นยิ่งทำให้อ้อมแขนที่คล้องรอบเอวยูริรัดแน่นขึ้นไปอีก
“นี่จะไม่ให้พี่ไปจริงๆใช่มั้ย?”
ถอนหายใจอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
เมื่อเห็นน้องมันส่ายหัวไถกับไหล่ตัวเอง
“มินกยอง..”
เสียงเรียกชื่อที่แสนจะคุ้นหูทำเอายูริตกใจจนเกือบจะผลักเจ้าของชื่อออกจากอ้อมกอด
คุณป๊าของน้องเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้านิ่ง ยูริยิ้มแหยให้ชายอาวุโส
ในใจรู้สึกตุ้มๆต่อมๆเช่นทุกครั้งที่ได้เจอคุณป๊าซึ่งขึ้นชื่อว่าหวงลูกสาวอย่างกับไข่ในหิน
มินกยอง.. ยูริกระซิบเบาๆ
ด้วยหวังว่าน้องจะคลายอ้อมกอด ทว่ามินกยองเพียงเอี้ยวตัวมองป๊าตัวเองเท่านั้น
“ปล่อยพี่เค้าไปทำงานก่อนเถอะ”
นั่นแหละที่ยูริอยากจะบอกมินกยอง
คนเด็กที่สุดในที่นี้ค่อยๆปล่อยมือจากตัวเค้า
ในใจอาจจะเป็นห่วงความปลอดภัยของคนที่ตัวเองกอดอยู่คงกลัวยูริโดนป๊าตัวเองเขมือบหัวซะตรงนี้
ชายอาวุโสท่าทางน่าเกรงขามพยักเพลิดไปทางประตูห้องคล้ายจะเป็นการเชิญออกออกจากห้อง
ยูริทำได้เพียงลุกขึ้นโค้งให้คุณป๊าก่อนจะค่อยๆแกะมือน้องที่ดึงตัวเองอยู่
ทว่าจังหวะที่กำลังจะเดินพ้นประตูคนที่เดินมากอดลูกสาวตัวเองกลับเอ่ยอะไรบางอย่างขึ้นมา
“ลงเวรแล้วกลับมาทานมื้อเย็นที่นี่นะ”
เหตุการณ์วันนั้นที่ทำให้ยูริรู้สึกเหมือนว่าตัวเองอาจจะหูฝาดไป
หรือกำลังฝันอยู่นั้น กลับกลายเป็นเรื่องจริง
หลังจากวันนั้นคุณป๊าก็เปิดใจยอมรับกันมากขึ้น บ่อยครั้งที่ท่านชวนยูริไปที่บ้าน
จนในที่สุดยูริก็ได้รับสิทธิ์ในการเข้าออกบ้านหลังใหญ่ของท่าน
รวมถึงสิทธิ์ในการดูแลลูกสาวสุดที่รักของท่านอย่างสมบูรณ์ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะความสม่ำเสมอของยูริที่แสดงให้ท่านเห็น
จึงได้รับการยอมรับจากผู้เป็นเสาหลักของบ้าน…
“ยูลลลลล”
ร่างสูงกระพริบตาถี่ๆ
แสงแสว่างจ้าค่อยๆจางลง ภาพใบหน้าสวยของเจ้าหมาป่าตัวน้อยปรากฏแก่สายตา
ก่อนที่มันจะยิ้มให้อย่างน่ารักจนอดยกมือมาหยิกแก้มทั้งสองข้างเบาๆไม่ได้
“มานอนอะไรตรงนี้
ไปนอนในห้องเถอะค่ะ”
คงเพราะความเหนื่อยล้าจากการอยู่เวรแล้วต้องมาเดินตามคนถือของให้คนน้องเกือบครึ่งวัน
ยูริจึงเผลอหลับตรงโซฟาระหว่างรออีกคนอาบน้ำให้จนได้
เห็นมินกยองส่งสายตาเป็นห่วงเป็นใยมากให้พลางอังมือตรงหน้าผาก ตัวไม่ร้อน
หมาป่าน่ารักบ่นงึมงำพลางย่นคิ้วกับตัวเอง
“อุ้มพี่ไปหน่อยสิ”
“ไม่เอาค่ะ ไม่ยุ่งกับคนไม่อาบน้ำ”
ถึงมินกยองจะบอกอย่างนั้นทว่าการที่อีกคนเอาตัวมาอยู่บนตัวยูริกลับดูขัดแย้งเสียเหลือเกิน
“จริงเหรอ”
“อะ.. อื้อ” คนน้องตอบแบบไม่เต็มเสียงในตอนที่โดนอีกคนขโมยจูบแบบไม่บอกไม่กล่าว
พอจะโดนจูบซ้ำเจ้าตัวจึงยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเพื่อเป็นการป้องกัน
“ไม่เอามือออก
พี่ไม่ปล่อยนะ” คนข้างล่างขู่พลางโอบเอวคอดของน้องไว้
เช่นนั้นมินกยองจึงยอมลดมือลงอย่างว่าง่าย ก่อนจะโดนขโมยจูบเป็นครั้งที่สองจนได้
“ไหนว่าจะปล่อยไง”
คนขี้โกงทำเป็นหลับตาไม่รู้ไม่ชี้
ทว่าแรงที่ใช้โอบอีกคนกลับไม่ได้ผ่อนลงแต่อย่างใด
“ถ้าไม่ปล่อยคืนนี้
นอนนอกห้องนะ!”
เมื่อมินกยองงัดไม้ตายมาใช้
ยูริจึงยอมปล่อยอีกคนเป็นอิสระ สายตามองคนข้างบนอย่างรักใคร่สุดหัวใจ
เพื่อนเคยถามเค้าว่าทำไมถึงได้ยอมเหนื่อยตามติดเพื่อดูแลอีกคนทั้งที่ตัวเองต้องทั้งทำงาน
อยู่เวร รวมถึงเรียนต่อไปด้วยแบบนี้ คำตอบที่ยูริมีเป็นเพียงคำสั้นๆ
ทว่ามันมีความหมายที่ยิ่งใหญ่
เพราะคำว่า ‘รัก’
เค้าถึงยอมทุกอย่าง…
“อาบน้ำเสร็จแล้วตามเข้ามานะ
ก่อนที่เค้าจะง่วง”
คนน้องว่าเสียงแหบพร่าคล้ายจะเป็นการจงใจยั่วกัน
“อื้อ” ว่าแล้วก็ส่งยิ้มหวานไปให้คนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องนอน
“รักนะ” คนน้องพิงบานประตูด้วยท่าทางเขินอายเล็กน้อย
“บอกเค้าทุกวัน
เช้า เที่ยง เย็น ไม่เบื่อเหรอคะ”
“ไม่เบื่อ” ยูริว่าพลางเดินมาหาอีกคน
ตอนนี้คงมีเพียงเราเท่านั้นเห็นว่าอีกคนมองกันด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักขนาดไหน
“รักเหมือนกันค่ะ” คนเด็กกว่าทิ้งสัมผัสอุ่นไว้ที่มุมปาก
พลางไล้ข้างแก้มสีน้ำผึ้งอย่างอ้อยอิ่ง
“ไม่อาบน้ำแล้วได้มั้ย?”
“ไม่ได้ค่ะ!!”
======================================================================
พิยูลกินเด็ก
อรั้ยๆๆๆ อบอุ่นมาเว่อร์
น้องกยองทีแรกหยิ่งพอตกหลุมที่เค้าแล้วน่ารักมากไป
จนอยากได้เองเลยค่ะ >/////<
ด้วยความที่ชอบทั้งคู่จึงออกมาเป็นวันช็อตเรื่องนี้ค่ะ
ถ้ากระแสดีเค้ากะจะแต่งฟิคข้ามวงแบบนี้อีกค่ะ
สนุกดี 55555
#ฟิคพี่หมอยูลน้องกยอง
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ littleapple_doc ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ littleapple_doc
ความคิดเห็น